Sunday, January 18, 2015

การเขียนรายงานวิจัย

บทนำ
การศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษานั้น นอกจากที่ผู้ศึกษาจะต้องเรียนจนครบรายวิชาที่กำหนดในหลักสูตรแล้ว สำหรับผู้ที่เรียนสาย ข. จะต้องสอบข้อสอบประมวลความรู้(Comprehensive) และเสนอผลงานที่คิดค้นที่เรียกว่าสารนิพนธ์(Independent study) ในขณะที่ผู้เรียนสาย ก. จะต้องเสนอผลงานที่คิดค้นหรือทดลองซึ่งเรียกว่าวิทยานิพนธ์(Thesis) ไม่ว่าจะทำสารนิพนธ์หรือวิทยานิพนธ์ผู้ศึกษาก็จะต้องผ่านการสอบป้องกันงานนิพนธ์ของตนเองกับคณะกรรมการสอบอีกขั้นตอนหนึ่งด้วย
สำหรับการเขียนรายงานวิจัยไม่ว่าจะเป็นสารนิพนธ์หรือวิทยานิพนธ์ โดยทั่วไปมีองค์ประกอบ ดังนี้
บทที่ ๑ บทนำ
บทที่ ๒ วรรณกรรมและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
บทที่ ๓ วิธีดำเนินการวิจัย
บทที่ ๔ ผลการวิจัย
บทที่ ๕ สรุป อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ
บรรณานุกรม
ภาคผนวก

การเขียนบทที่ ๑ บทนำ
โดยทั่วไปแล้ว ส่วนประกอบในบทที่ ๑ ประกอบด้วย
1. ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา (Background and Significance of the Study) 
2. คำถามการวิจัย (Research Questions) 
3. วัตถุประสงค์การวิจัย (Purposes of the Study) 
4. สมมุติฐานการวิจัย (Hypotheses) 
5. ขอบเขตของการวิจัย (Delimitation of the Study) 
6. วิธีการดำเนินการวิจัย (Research Procedure of the Study) 
7. ประโยชน์ที่ได้รับ (Practical Application) 
8. นิยามศัพท์เฉพาะ (Definition of Terms)

ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา 
          ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหามีความสำคัญมาก เนื่องจากเป็นการสร้างฐานให้ผู้อ่านรายงานวิจัยทราบและเข้าใจเรื่องราวที่มาที่ไปของงานวิจัยในเบื้องต้นว่า ผู้วิจัยได้ทำการศึกษาเรื่องอะไร ประเด็นปัญหาที่สนใจมีอะไรบ้าง ใช้เหตุผลเชิงวิชาการหรือทฤษฎีอะไรบ้างที่สนับสนุนการมองประเด็นปัญหาในการวิจัยครั้งนี้ และจากการที่ได้ทบทวนงานวิจัยที่ผ่านมา มีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยชิ้นนี้อย่างไรบ้าง เพียงใดเพื่อให้ผู้อ่านได้รับทราบสาระของการวิจัยมากที่สุด(Creswell, John W.,2009; Wilkinson, A.M.,1991; Gall, Meredith D.; Gall, Joyce P. and Borg, Walter R.,2007; Tuckman, Bruce W., 1978)
          ในการทำวิจัยแต่ละครั้ง ผู้วิจัยต้องมีเหตุผลเฉพาะของการทำวิจัย จึงมีความจำเป็นที่ต้องเสนอตัวปัญหา(Research problems)ที่ผู้วิจัยได้วิเคราะห์มาแล้วอย่างดี ชัดเจน และต้องชี้ให้เห็นความสำคัญของปัญหาว่าถ้าไม่ทำการวิจัยอาจก่อให้เกิดปัญหาอะไร โดยผู้วิจัยต้องเสนอขอบข่ายทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง รวมถึงผลงานวิจัยจากแหล่งต่าง ๆ อย่างครอบคลุม วรรณกรรมที่เกี่ยวข้องที่สืบค้นมานั้นต้องมีหลักฐานที่อ้างอิงและยืนยันเพื่อชี้ประเด็นว่าเรื่องที่ทำนั้นมีความสำคัญ และมีแนวทางในการตอบคำถามปัญหาการวิจัยอย่างไร
ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องดังกล่าว เมื่อได้อ่านส่วนนี้ของรายงานวิจัยแล้ว จะทราบและเข้าใจได้ทันทีว่า ผู้เขียนมีความเข้าใจหรือใช้หลักการ แนวคิดถูกต้องหรือไม่ หรือครอบคลุมมากน้อยเพียงใดซึ่งมีความสำคัญมาก ยิ่งหากผู้วิจัยเสนอเพื่อขอรับทุนวิจัย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจะเข้มงวดอย่างมาก ผู้วิจัยจึงต้องค้นคว้าอย่างลุ่มลึกและรอบด้านและต้องเขียนให้ชัดเจน
กล่าวโดยสรุป ในการเขียนความเป็นมาและความสำคัญของปัญหานั้นมีความสำคัญมาก และควรเขียนหลังจากที่ได้ศึกษา ค้นคว้า ทบทวนวรรณกรรมมาอย่างดีแล้ว   อนึ่ง ในการเขียนส่วนนี้ในโครงร่างการวิจัย(Proposal) อาจมีความไม่ชัดเจนหรือสมบูรณ์เพราะเป็นเพียงโครงร่างที่เสนอว่าจะทำ แต่ในการเขียนรายงานการวิจัย(Final Research Report) ต้องได้รับการปรับปรุง พัฒนาให้สมบูรณ์ ในเอกสารนี้จึงเสนอแนวทางการเขียนรายงานการวิจัย ดังนี้
          1. ควรเริ่มด้วยการเสนอภูมิหลัง ความเป็นมาเชิงวิชาการ หลักการ ที่มาของปัญหาการวิจัย (Research problem)โดยใช้เหตุและผลเชิงวิชาการมาสนับสนุน วิเคราะห์ ความคิดต่าง ๆ เหล่านั้น เพื่อชี้ให้เห็นความจำเป็น และความสำคัญของการทำวิจัย(Creswell, John W., 2009:102) เรื่องที่อ้างอิงและนำมาสนับสนุนควรเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยที่ทำเท่านั้น โดยไม่เขียนออกนอกกรอบ
          2. จากนั้นควรเน้นจุดสนใจของการศึกษาวิจัย มูลเหตุของการทำวิจัย ที่ผู้วิจัยทำการศึกษาค้นคว้า เช่น เป็นเรื่องที่เป็นปัญหาที่ได้รับความสนใจ หรือเป็นประเด็นปัญหาที่ยังไม่ได้รับคำตอบครบถ้วน หรือยังขาดรายละเอียดโดยเฉพาะภายใต้บริบทที่ทำวิจัย 
          3. ในการเขียนบริบทควรบรรยายถึงสภาพทั่ว ๆ ไปของบริบทให้ผู้อ่านเข้าใจถึงความจำเป็นในการศึกษา และชี้ให้เห็นว่าหากได้รับคำตอบจากงานวิจัยจะมีคุณประโยชน์ และมีคุณค่าอย่างไร
          4. กรณีงานที่ศึกษา มีผู้อื่นได้ศึกษามาก่อนหน้านี้บ้างแล้ว ควรชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างของบริบท(กลุ่มตัวอย่าง) หรือช่วงเวลาที่เปลี่ยนแปลงไปโดยอ้างหลักการ และเหตุผลที่ต้องทำวิจัยใหม่อีกในครั้งนี้
          5. ในการเขียนความเป็นมาและความสำคัญของปัญหาอาจใช้วิธีต่อไปนี้
                   5.1 เขียนจากหลักการ และนำเข้าสู่เรื่องเฉพาะ (Deductive Method) 
                   5.2 เขียนจากเรื่องเฉพาะ แล้วดำเนินไปถึงเรื่องทั่ว ๆ ไป (Inductive Method)
          อย่างไรก็ตาม ในการเขียนความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา จะใช้แบบใดก็ได้ ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม และการวางแผนของผู้วิจัย โดยผู้วิจัยควรหาหลักฐานมายืนยัน สนับสนุนข้อมูลทุกขั้นตอน และพยายามทำให้ผู้อ่านเข้าใจและติดตามงานวิจัยตลอดทั้งเรื่อง 
          6. คำถามการวิจัย (Research Questions) หลังจากที่ได้ทบทวนวรรณกรรมอย่างดี จะทำให้ได้ประเด็นที่เรียกว่า “ปัญหาการวิจัย” ชัดเจน จากนั้นจึงนำปัญหาการวิจัยมาสร้างเป็นคำถามการวิจัยและนำเสนอใน paragraph สุดท้าย

วัตถุประสงค์การวิจัย (Purposes of the Study) 
          วัตถุประสงค์การวิจัยเป็นหัวใจของการวิจัยซึ่งพัฒนามาจากคำถามการวิจัย วัตถุประสงค์จะเป็นตัวกำหนดทิศทางและเงื่อนไข โดยเน้นถึงผลที่ได้รับในเชิงปฏิบัติได้จริงซึ่งตอบคำถามการวิจัย ภาษาที่เขียนในวัตถุประสงค์จะบ่งชี้ถึงแนวทางเก็บข้อมูล สามารถวัดได้และตรวจสอบได้  นอกจากนี้ วัตถุประสงค์การวิจัยยังเป็นตัวบ่งชี้ว่า ผู้วิจัยมีเป้าหมายทำอะไร อย่างไร และคาดว่าจะได้อะไรจากการวิจัย เป็นการแสดงเจตจำนงที่จะหาคำตอบในขอบเขตจำเพาะ

สมมุติฐานการวิจัย (Hypotheses) 
การตั้งสมมติฐานการวิจัยเป็นการคาดคะเนว่าคำตอบที่ได้จากการวิจัย จะออกมารูปแบบใดเพื่อเป็นแนวทางในการแสวงหาคำตอบที่แท้จริงต่อไป(อุเทน ปัญโญ 2545:111) ในการตั้งสมมติฐานไม่สามารถนึกเอาเองหรือลอกเลียนแบบจากงานวิจัยชิ้นอื่นๆ แต่ต้องได้มาจากการทบทวนวรรณกรรม จากปัญหาการวิจัยและสามารถดำเนินการทดสอบได้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์((Tuckman,Bruce W., 1978: 25)

ขอบเขตการวิจัย (Delimitation of the Study) 
          ในการเขียนขอบเขตการวิจัยแบ่งได้ ๒ ส่วนคือ ขอบเขตด้านพื้นที่ และขอบเขตด้านเนื้อหา
ขอบเขตด้านพื้นที่เป็นการเขียนให้ทราบว่าทำวิจัยที่ไหนเพราะเหตุใด และประชากรเป็นใคร
ส่วนขอบเขตด้านเนื้อหาเป็นการบอกว่า วัตถุประสงค์แต่ละข้อนั้น ได้ศึกษาครอบคลุมเนื้อหาอะไรบ้าง  ประโยชน์ของการเขียนส่วนนี้ที่ชัดเจนจะทำให้ผู้ทำวิจัยไม่หลงทางและผู้ตรวจงานวิจัยทราบทิศทางและความลุ่มลึกของงานวิจัย ดังนั้นจึงควรนำวัตถุประสงค์แต่ละข้อมาขยายรายละเอียด

วิธีการดำเนินการวิจัย (Research Procedure of the Study)
 
          ในการเขียนวิธีการดำเนินการวิจัยในบทที่ ๑ นั้น จะเขียนอย่างคร่าว ๆ เพื่อให้ผู้อ่านมองเห็นภาพว่า   ในการตอบวัตถุประสงค์แต่ละข้อนั้น จะเก็บข้อมูลที่ไหน กับใคร (กับประชากร หรือ กับกลุ่มตัวอย่าง) เครื่องมือมีอะไรบ้าง สร้างเองหรือยืมใครมา มีความน่าเชื่อถือเพียงใด มีวิธีวัดค่าความน่าเชื่อถือของเครื่องมืออย่างไร  มีวิธีการรวบรวมข้อมูลอย่างไร การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติอะไร ลึกขนาดไหนหรือไม่ เช่น มีการเปรียบเทียบตัวแปรหรือไม่ รวมไปถึงใช้เวลาในการวิจัยนานเท่าไร นักวิจัยต้องกล่าว ถึงสิ่งต่างๆ เหล่านี้เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจหรือเกิดความเชื่อถือในเบื้องต้น

ประโยชน์ที่ได้รับ (Practical Application)
            การเขียนประโยชน์ที่ได้รับจากการทำการวิจัยนั้น ควรเขียนว่า เมื่อตอบวัตถุประสงค์แต่ละข้อแล้วได้ให้ประโยชน์อย่างไรบ้าง แก่ องค์กร สถาบันหรือหน่วยงาน อาจเป็นประโยชน์ทางตรงและ/หรือทางอ้อม ก็ได้ อย่างไรบ้าง

นิยามศัพท์เฉพาะ (Definition of Terms)
          คำศัพท์ที่ควรนำมาเขียนเป็นคำที่ต้องการ “คำอธิบายและสื่อความหมาย” ระหว่างผู้ทำวิจัยและผู้อ่านให้เข้าใจตรงกัน โดยเฉพาะคำที่มีความหมายหลากหลายในบริบทที่ต่างกัน การนิยามศัพท์ควรเขียนในรูปนิยามศัพท์เชิงปฏิบัติการ (Operational Definition) ที่วัดและตรวจสอบได้ ทั้งนี้ต้องสอดคล้องกับเรื่องที่ทำการวิจัย ครอบคลุมสภาวะ และเงื่อนไขของหลักวิชาการ ทั้งนี้ ควรคัดเลือกเพียงคำหลัก ๆ จากหัวข้อวิจัยและวัตถุประสงค์การวิจัย เท่านั้น


การเขียนบทที่ ๒ วรรณกรรมและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

โดยหลักการแล้วในการเขียนบทนี้ ผู้วิจัยควรกำหนดกรอบเนื้อหาที่ศึกษาให้ชัดเจนถึงสิ่งที่ได้ทบทวนวรรณกรรมไป และหากมีความจำเป็น อาจต้องขยายเนื้อหาเพิ่มเติมจากที่ได้เสนอในโครงร่างการวิจัย เนื่องจากขณะที่ลงพื้นที่ทำการวิจัยจริง ความรู้ที่เคยมีหรือทบทวนก่อนอาจไม่เพียงพอ
          โดยทั่วไปแล้วการทบทวนวรรณกรรมและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องมีความสำคัญที่สุดเพราะทำให้ได้องค์ความรู้ที่ใช้เปรียบเสมือนเป็นไฟฉายส่องนำทางงานวิจัยของเรา หากได้มีการทบทวนดี ชัดเจน มีการวิเคราะห์ สังเคราะห์อย่างดีจะทำให้ผู้วิจัยค้นพบตัวแปร(variables) (Tuckman, Bruce W., 1978: 38) การวิจัย มีความมั่นใจอย่างมากที่จะป้องกัน(defend)ตนเอง เมื่อถึงเวลา จึงควรหลีกเลี่ยงการเขียนแบบตัดต่อ(cut and paste) หรือเป็นขนมชั้น(และไม่ควรอ้างเหตุผลว่าคนอื่นๆ ยังทำได้) เพราะนั่นเป็นการเสียเวลา เปลืองกระดาษ มากกว่าได้เรียนรู้ เพราะการตัดต่อไม่ได้ช่วยให้ผู้วิจัยเข้าใจวรรณกรรมนั้นอย่างลึกซึ้ง และมีข้อโต้แย้งทางวิชาการจำกัดมาก เนื่องจากแต่ละแนวคิดและทฤษฎีมีความเป็นเอกภาพของมันเอง ไม่สามารถอ้างอิงร่วมกันได้ ยกเว้นงานนั้นต่อยอดจากแนวคิด ทฤษฎีเดียวกัน แต่แนวคิด ทฤษฎีที่แตกต่างกันสามารถนำมาโต้แย้ง(argue)กันได้ และทำให้เข้าใจบริบทลึกซึ้งได้ วิธีการเขียนๆ ที่เพียงเพื่อให้มีเนื้อหามากจึงไม่ได้ช่วยให้เรียนรู้อะไรอย่างลึกซึ้ง
Gall, Meredith D.; Gall, Joyce P. and Borg, Walter R. (2007:96-97) กล่าวว่า งานวิจัยที่มีคุณค่านั้น นักวิจัยต้องทำการทบทวนวรรณกรรมอย่างดี การละเลยดำเนินการทบทวนวรรณกรรมอย่างรอบด้านและลุ่มลึกนั้น ทำให้งานวิจัยที่ดำเนินการใหม่นี้ขาดคุณค่าและไม่ได้รับการยอมรับหรือดึงดูดใจจากนักวิชาการที่อ่านผลงานวิจัย ผลของการทบทวนวรรณกรรมอย่างดีทำให้ได้แนวคิดในการกำหนดขอบเขตการวิจัยที่ดี ได้ทิศทางการวิจัยที่ชัดเจน(seeking new lines of inquiry) นอกจากนี้การทบทวนวรรณกรรมอย่างครบถ้วนยังช่วยไม่ให้งานวิจัยที่ทำใหม่ไร้คุณค่าหรือไร้ประโยชน์(avoiding fruitless approaches) แต่จะช่วยให้ gaining methodological insights คือช่วยให้การออกแบบการวิจัยใหม่เหมาะสม ถูกต้องจากการที่เรียนรู้งานวิจัยชิ้นเก่าๆ ว่าเคยดำเนินการแบบใดที่ได้ผลดีหรือไม่ได้ผลดีมาก่อนสอดคล้องกับที่ Creswell, John W.(2009:25-26) กล่าวว่า การทบทวนวรรณกรรมจะช่วยให้งานที่ทำใหม่ filling in gaps and extending prior studies หรือเติมเต็มหรืออุดช่องว่างงานวิจัยชิ้นก่อนๆ อีกด้วย
อนึ่ง เมื่อทบทวนประเด็นเนื้อหาจบแต่ละประเด็น ต้องสรุป โดยเขียนตามความเข้าใจของผู้วิจัยและควรชี้ส่วนที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการวิจัยครั้งนี้ว่ามีอะไรบ้าง
องค์ประกอบที่ควรปรากฏในบทนี้ ได้แก่
๑.      นิยามศัพท์ แนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง
๒.     ข้อความรู้ทั่วๆ ไปอย่างกว้างขวาง(บทความวิชาการทั้งที่ตีพิมพ์ นำเสนอในที่ประชุมวิชาการ: conferences หรือใน e-journals เนื้อหาจากตำรา หรือที่ได้รับจาก lecture บทความเสนอผลการวิจัยทั้งของไทยและต่างประเทศ) รวมถึงเงื่อนไข ปัจจัยที่เกี่ยวข้อง
๓.     ควรหลีกเลี่ยงการนำเสนอกฎหมาย กฎ ระเบียบมาอ้างโดยไม่เข้าใจรากเหง้าที่มาของสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้น เพราะจะนำท่านไปสู่ทางตัน หาทางออกไม่ได้ เพราะทุกกฎหมาย ทุกระเบียบมีที่มาที่ไป มีแนวคิด มีทฤษฎีรองรับทั้งสิ้น แต่การอ้างโดยไม่เข้าใจก็ไม่แตกต่างจากการ “มองคนที่รูปร่างภายนอก” เท่านั้น
๔.     สภาพบริบทที่ศึกษา ควรเขียนให้ชัดเจนว่ามีสภาพเป็นอย่างไร มีจุดแข็งจุดอ่อนอะไรบ้าง อย่างไร เพราะอะไร การที่มองสภาพปัญหาของบริบทไม่แตกหรือไม่ชัด แล้วจะเข้าไปแก้ไขนั้น อาจจะสร้างปัญหาใหม่ หรือไม่ก็ทำให้ปัญหาใหญ่โตมากขึ้นๆ หรือไม่ก็ไร้ค่า ไร้ประโยชน์ แล้จะทำวิจัยทำไม ทำให้หลงประเด็นเปล่าๆ เลิกแนวคิดแบบน้ำเน่าเสียทีเถิด
๕.     งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ควรศึกษาต้นฉบับ(หากทำได้) ควรหลีกเลี่ยงการอ้างข้อมูลมือสอง(หากสามารถหาต้นฉบับได้) และควรอ่านทั้งเล่มเพราะจะทำให้เข้าใจว่า วิจัยชิ้นนั้นออกแบบการวิจัยอย่าไร ผลเป็นอย่างไรภายใต้ปัจจัย เงื่อนไขนั้นๆ   มีข้ออภิปรายอะไรบ้าง   มีจุดแข็งจุดอ่อนอะไรบ้าง และมีข้อเสนอแนะเพื่อการวิจัยครั้งต่อไปอย่างไร     การอ่านทั้งเล่มจะได้ประโยชน์มากกว่าอ่านเพียงบทคัดย่อหรือลอกตามงานวิจัยเล่มอื่นๆ ซึ่งนิยมทำกันเพื่อให้ผ่านพ้นหรือให้ครบตาม “พิธีกรรม” เท่านั้น
๖.      สรุปภาพรวมเพื่อสร้างเป็นกรอบแนวคิดการวิจัยต่อไป

การเขียนบทที่ ๓ วิธีดำเนินการวิจัย

          ในการเขียนบทนี้ต้องเขียนขยายความต่อจากการเขียนในบทที่ ๑ อย่างละเอียดว่า ในแต่ละส่วนประกอบต่าง ๆ ได้มาอย่างไร มีขั้นตอนอะไรบ้าง มีการตรวจสอบ น่าเชื่อถือเพียงใด เช่น
๑.      ประชากรเป็นใครบ้าง ทำไมจึงเป็นกลุ่มนั้น มีจำนวนเท่าไรและหากใช้กลุ่มตัวอย่างต้องอธิบายว่าได้มาโดยวิธีใด แบบใดและควรมีปริมาณมากพอตามหลักวิชาการ(อุเทน ปัญโญ 2545) การเขียนที่มาของกลุ่มตัวอย่างไม่ชัดเจน  ไม่ถูกต้อง  ทำให้ผลการวิจัยขาดน้ำหนักของความน่าเชื่อถือ เพราะกลุ่มตัวอย่างอาจไม่กระจายหรือไม่เป็นตัวแทนของประชากรก็ได้ และควรนำเสนอภาพที่ชัดเจนในรูปตาราง จากประชากรสู่กลุ่มตัวอย่าง ด้วย
ในกรณีที่เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ ต้องบอกว่าใครเป็นผู้ให้ข้อมูลหลัก(Key informants) ใครเป็นผู้ให้ข้อมูลรอง(Informants) มีเกณฑ์ที่ใช้ในการคัดเลือกโดยวิธีใดด้วย
๒.     เครื่องมือ ในการรวบรวมข้อมูล เพื่อตอบวัตถุประสงค์แต่ละข้อ ใช้เครื่องมืออะไร เช่น
๒.๑ ใช้การสังเกต(Observation ซึ่งมีทั้งการสังเกตแบบมีส่วนร่วม:Participant observation
       และการสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม:Non-participant observation) ผู้วิจัยต้องอธิบายให้ชัด
๒.๒ ใช้แบบสอบถาม(Questionnaire) ซึ่งใช้เพื่อการสำรวจความคิดเห็นอย่างกว้างๆ ที่มี
       ปริมาณผู้กรอกแบบสอบถามมากตามหลักวิชาการ ควรศึกษาลักษณะของแบบสอบถาม
       ที่ดี หากพัฒนาแบบสอบถามเอง ผู้วิจัยต้องบอกขั้นตอน วิธีการพัฒนาแบบสอบถามอย่าง
       ละเอียดและหากยืมแบบสอบถามจากที่อื่นก็ต้องบอกเหตุผลด้วย
๒.๓ ใช้การสัมภาษณ์(ซึ่งมีทั้งการสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง:Structured Interview และการ
       สัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง:Non-structured interview) ผู้วิจัยต้องอธิบายให้ชัด
๒.๔ ใช้แบบทดสอบ(Test)
๒.๕ ใช้การสนทนากลุ่ม(Focus group discussion) ผู้วิจัยต้องอธิบายให้ชัดและถูกต้อง
เครื่องมือทุกชนิด ผู้วิจัยต้องบอกว่าได้เครื่องมือเหล่านี้มาจากไหน สร้าง/พัฒนาเองหรือยืมของ
ใครมา หากสร้าง/พัฒนาเอง ต้องบอกขั้นตอนในการสร้าง จากนั้นต้องหาค่าความเที่ยงตรง(Validity)และค่าความเชื่อมั่น(Reliability) และต้องนำเสนอผลค่าที่ได้
๓.     ความเที่ยงตรงและความเชื่อมั่นของเครื่องมือ  ไม่ว่าจะสร้างเองหรือยืมใครมา ต้องมีการหาค่าความเที่ยงตรง(Validity) และค่าความเชื่อมั่น(Reliability) ของเครื่องมือ และควรนำตารางหรือแผนภูมิ รวมถึงรายชื่อผู้เชี่ยวชาญใส่ในภาคผนวก
นักวิจัยหน้าใหม่จำนวนมากมักเกรงกลัวว่า หากให้ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้นจริง(อาจหาได้ยาก) ตรวจเครื่องมือให้จะมีปัญหา ต้องแก้ไขหลายครั้งและ ยุ่งยาก จึงมักให้ใครๆ ก็ได้(ซึ่งไม่มีความรู้เรื่องนั้นจริงและตรวจแบบขอผ่านไปที) นั้น เป็นการดำเนินการที่ผิดพลาดมากๆ เพราะนักวิจัยจะไม่ได้เรียนรู้อะไร และผลกระทบ(impact) ที่เกิดจากการวิจัยก็ไร้คุณค่า เพราะแบบสอบถามขาดความเที่ยงตรง จึงควรหลีกเลี่ยงวิธีการแบบน้ำเน่าเสียที
๔.     การเก็บข้อมูล การเขียนรายงานวิจัยส่วนนี้มีความสำคัญไม่น้อยกว่า ความน่าเชื่อถือของกลุ่มตัวอย่างและความน่าเชื่อถือของเครื่องมือ เนื่องจาก หากผู้วิจัยเสนอรูปแบบ วิธีการเก็บข้อมูลอย่างไม่น่าเชื่อถือหรือสับสน เช่น ในบทที่ ๑ บอกว่าจะเก็บข้อมูลด้วยตนเอง แต่ในบทที่ ๓ ก็เขียนว่าเก็บข้อมูลโดยส่งทางไปรษณีย์หรือฝากนักเรียนไปให้ผู้ปกครอง เป็นต้น ผู้อ่านจะเกิดความสับสนและไม่เชื่อถือในวิธีการและข้อมูลนั้นๆ แม้ว่าเครื่องมือจะดีเพียงใดก็ตาม    
ในกรณีที่ใช้วิธีการเก็บข้อมูล “เชิงคุณภาพ” ผู้วิจัยต้องมีความเข้าใจและตรวจสอบเทคนิคการใช้กระบวนการเก็บข้อมูลอย่างถูกต้อง อย่าเพียงไปอ่านงานสารนิพนธ์หรืองานวิจัยบางเล่มที่เขียนหรือใช้เทคนิควิธีอย่างผิดพลาดแล้วนำเทคนิควิธีการนั้นมาใช้ จะทำให้งานวิจัยของท่านขาดความน่าเชื่อถือ
๕.     การวิเคราะห์ข้อมูล เครื่องมือแต่ละอย่างมีวิธีการวิเคราะห์ข้อมูลต่างกัน ต้องอธิบายว่า ในการตอบวัตถุประสงค์ข้อ ๑, ๒, หรือข้อ ๓ ท่านใช้เครื่องมืออะไร ใช้วิธีการวิเคราะห์แบบใด อนึ่ง ขอแจ้งว่า ไม่ควรใช้คำว่า “วิเคราะห์โดยใช้ Program SPSS” หากท่านไม่ได้ซื้อ Program นั้น เพราะอาจถูกตรวจสอบและเสียค่าปรับค่าลิขสิทธิ์ด้วยราคาแพงมาก
ข้อมูลบางอย่างเช่น ข้อมูลที่เกี่ยวกับสถานภาพส่วนบุคคลของผู้ตอบแบบสอบถาม ซึ่งควรนำเสนอในรูปแจงนับความถี่(frequency) และหาค่าร้อยละ(%) เท่านั้น แต่บางคนกลับไปให้โปรแกรมสำเร็จรูปหาค่าเฉลี่ย(mean) เรื่องเหล่านี้ต้องระวังให้มากๆ หากไม่มีความรู้แท้จริง ต้องปรึกษาผู้รู้
ไม่ควรใช้สถิติอย่างฟุ่มเฟือย(และไม่รู้จริง) แต่ไม่ได้ให้คุณค่าและความรู้ที่แตกต่างไปจากการใช้สถิติพื้นฐาน เพราะท่านต้องตอบคำถามมากมายจากกรรมการผู้สอบ
๖.      การแปลค่าข้อมูล การแปลค่ามีความหมายและมีประโยชน์มาก ข้อมูลที่ได้รับการคำนวณหรือเก็บมาไม่ว่าจะเป็นปริมาณหรือเชิงคุณภาพก็ตาม ต้องมีการแปลค่าความหมาย โปรแกรมสำเร็จรูปไม่ได้ช่วยในการแปลค่าแต่อย่างใด ในงานวิจัย ผู้วิจัยจึงต้องบอกให้ชัดว่าใช้หลักเกณฑ์อะไร ของใครในการแปลค่าข้อมูลนั้นๆ
และสุดท้ายของบทนี้พึงเสนอภาพของขั้นตอนของการศึกษาในรูป flow-chart ก็ได้


การเขียนบทที่ ๔ ผลการวิจัย
         
ในการเขียนบทนี้ต้องเขียนเพื่อ ตอบวัตถุประสงค์การวิจัยแต่ละข้อ ข้อมูลที่นำเสนอที่เป็นข้อมูลพื้นฐานหรือข้อมูลที่ได้จากโปรแกรมสำเร็จรูปก็ต้องเสนอเพื่อตอบวัตถุประสงค์การวิจัยแต่ละข้อให้ชัดเจนตามหลักวิชาการและตามที่ได้กำหนดไว้ในบทที่ ๓ เท่านั้น  การนำเสนอข้อมูลในบทนี้จึงไม่มีการอ้างอิงทฤษฎีใดๆ แต่...ทั้งนี้ผู้วิจัยต้องมีแนวคิด ทฤษฎีรองรับอยู่แล้ว โดยเฉพาะงานวิจัยเชิงคุณภาพ มีความสำคัญและจำเป็นมาก
          สำหรับการเขียนงานวิจัยเชิงปริมาณ การนำเสนอผลการวิเคราะห์สถิติข้อมูลให้เห็นภาพด้วยตาราง(tables) แผนภูมิ(graphs) มีความจำเป็น(Van Dalen, Deobold B., 1978:140-141; Tuckman, Bruce W., 1978: 328-329) แต่ไม่จำเป็นต้องเสนอตารางมาก ควรเลือกเสนอตารางหรือแผนภูมิ(หลัก)ตามความจำเป็นที่ต้องตอบวัตถุประสงค์การวิจัย อย่างไรก็ตามควรนำตารางหรือแผนภูมิ(รอง) ไปใส่ในภาคผนวกได้



แผนภูมิ ๑ ปริมาณนักวิ่งชาย-หญิง จำแนกตามเวลาที่ใช้วิ่งในระยะทาง ๑๐๐ เมตร

http://1.bp.blogspot.com/_aSQu7mFMs94/TEkjCcFoDwI/AAAAAAAAABk/1a6mF40RvAA/s1600/i9aGCOr81029.jpg

          ต้องใส่เลขตารางตามลำดับ(แต่ทั้งนี้ให้ดู format การยึดรูปแบบเขียนของสถาบันการศึกษาเป็นหลัก) ตัวอย่างเช่น  ตาราง ๑  ตาราง ๒....  แผนภูมิ ๑  แผนภูมิ ๒    หรือ ตาราง ๑.๑   ตาราง ๒.๑... แผนภูมิ ๑.๑  แผนภูมิ ๒.๑  เป็นต้น
          ในขณะที่ใต้ตารางและแผนภูมิ ต้องนำข้อมูลมาเสนอเพื่อแปลค่าเป็นคำพูด(text describing in words) ให้เห็นภาพ เช่น
จากแผนภูมิ ๑ .....
ในขณะที่งานวิจัยเชิงคุณภาพและงานวิจัยแบบผสม(Mixed method) จะต้องเสนอภาพภาคสนามประกอบการนำเสนอข้อมูลที่ได้จากภาคสนามด้วย(ดูตัวอย่างจากงานวิจัยของพศิน แตงจวง 2553, 2554 ได้)

การเขียนบทที่ ๕ สรุป อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ

          ในการเขียนบทนี้เป็นการเขียนสรุปข้อค้นพบการวิจัยเพื่อตอบวัตถุประสงค์การวิจัยในภาพรวม และสมบูรณ์แบบโดยไม่แยกเสนอตามที่เขียนในบทที่ ๔ เช่น ในการเก็บข้อมูลอาจจะใช้วิธี mixed methods แต่ในการนำเสนอผลในบทที่ ๕ ต้องนำมาบูรณาการกัน อาจจะมีข้อสนับสนุนกันหรือโต้แย้งกันได้ ไม่ว่าจะสนับสนุนหรือโต้แย้งกันสามารถนำไปสู่การอภิปรายและให้ข้อเสนอแนะได้อย่างดี
๑.      สรุปผลการวิจัย ในการเขียนสรุปผลการวิจัย ผู้วิจัยต้องเน้นการเขียนร้อยเรียงตามวัตถุประสงค์ กล่าวคือ นำเสนอวิธีการ(procedure) จากนั้นจึงเสนอข้อค้นพบจากการวิจัย(findings) และรวมถึงการตอบคำถามการวิจัยอย่างสรุป แต่ได้ใจความและครบถ้วน(precisely) ตามที่กล่าวแล้วข้างต้น ในกรณีที่มีการทดสอบสมมติฐานก็ต้องนำผลมาเสนอด้วย(Van Dalen, Deobold B., 1978:143)  แต่ไม่จำเป็นต้องนำสถิติมาเขียนอีก
๒.     การอภิปรายผล ในส่วนการอภิปรายผล เป็นส่วนที่เขียนเพื่อแสดงให้เห็นว่า ผู้วิจัยมีความรู้ ความเข้าใจในงานมากน้อยเพียงใด ผู้วิจัยได้ใช้หลักการ แนวคิด ทฤษฎีใดมาประกอบการทำวิจัย ผลที่ได้จากการวิจัยเมื่อตกผลึกแล้วเป็นอย่างไร เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น เกิดจากปัจจัย เงื่อนไขตามหลักวิชาการใดบ้างโดยเฉพาะในบริบทที่ศึกษา จะสามารถขยายความไปสู่บริบทอื่นได้หรือไม่
Tuckman, Bruce W., (1978: 330-331) ได้ให้คำแนะนำว่า ในการเขียนอภิปรายผลนั้นมีความจำเป็นที่จะต้องมีกรอบชัดเจน สิ่งที่เคยกล่าวไว้ในบทนำในส่วนของความเป็นมาและความสำคัญของปัญหาได้กล่าวไว้เช่นไร ผลการวิจัยเป็นอย่างไร ผู้วิจัยควรนำมาอภิปรายแสดงความคิดเห็นทั้งอย่างอิสระอย่างนักวิชาการที่มีความเชี่ยวชาญกับเรื่องที่ทำวิจัยซึ่งแฝงด้วยการอ้างอิงและบูรณาการกับหลักวิชาการ
๓.     ข้อเสนอแนะ จำแนกเป็น
๓.๑ ข้อเสนอแนะเพื่อการนำไปใช้ และ
๓.๒ ข้อเสนอแนะเพื่อการวิจัยครั้งต่อไป

การเขียนบรรณานุกรม
          การเขียนในส่วนนี้ต้องยึดหลักการเขียน(format) ของสถาบันการศึกษานั้น ๆ การเขียนอ้างอิงของ มมร. ในรุ่นที่ ๙ เป็นต้นไปจะแตกต่างจากรุ่นก่อนๆ เช่น เปลี่ยนจากเขียนแบบ footnote เป็นอ้างอิงในเนื้อหา ซึ่ง ท่านพระมหา ดร.วีรศักดิ์ สุรเมธี จะให้ความรู้ท่านในโอกาสต่อไป

การเขียนภาคผนวก
          ในส่วนของภาคผนวก โดยทั่วไปมีไว้เพื่อเป็นพื้นที่สำหรับ ขยายความ เสริมเติมจากเนื้อหาในบทที่ ๑-๕ รูปแบบในการเขียน แยกเป็นภาคผนวก ก. ข. ค.....ฮ. ในภาคผนวก ก. อาจเป็น หนังสือขอความอนุเคราะห์ผู้เชี่ยวชาญ  รายชื่อของผู้เชี่ยวชาญ หรือ ภาคผนวก ข. อาจจะเป็นข้อมูลรายละเอียดการวิเคราะห์ค่า ความเที่ยงตรง(Validity) และค่าความเชื่อมั่น(Reliability) ฯลฯ

ข้อที่พึงตระหนักเพิ่มเติมในการเขียนรายงานวิจัย
๑.      ในการเขียนรายงานวิจัยพึงเปลี่ยนจาก “จะ” ในโครงร่างวิจัย เป็น “ได้”
๒.     พึงอ่านทบทวนและปรับภาษาในบทที่ ๑-๓ ให้ถูกต้องตามหลักวิชาการ
๓.     พึงแสวงหาเพิ่มเติมเนื้อหา ความรู้ ในบทที่ ๒ ให้สมบูรณ์
๔.     พึงอ่านสิ่งที่ตนเองเขียนและให้ผู้อื่น(เพื่อนร่วมชั้นที่รักความก้าวหน้าทางวิชาการ) อ่านด้วย ควรรับฟัง “คำวิพากษ์” มากกว่า “คำชม”
๕.     พึงปรึกษาผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญแท้จริงในเรื่องที่ทำวิจัย
๖.      และสุดท้ายควรตรวจสอบความสอดคล้อง ความต่อเนื่องเนื้อหาที่เขียน ตั้งแต่บทที่ ๑-๕ ความครบถ้วนและความถูกต้องในการเขียนอ้างอิงและบรรณานุกรม
ไม่ควรทิ้งภาระทั้งหมดเหล่านี้ให้อาจารย์ที่ปรึกษา กรรมการที่ปรึกษาและผู้ตรวจสอบสุดท้าย ผู้ตรวจ format ของมหาวิทยาลัยโดยเด็ดขาด
บรรณานุกรม

พศิน  แตงจวง(2553) การพัฒนาบุคลากรสู่ภาคแรงงาน: การศึกษาเปรียบเทียบไทยและ
            เวียดนาม 1980-2025(ฉบับปรับปรุง) อัดสำเนาเย็บเล่ม.
________ (2554) การพัฒนาสมรรถนะครูภายใต้บริบทของตนเอง(Reflexive teacher): กรณี
            ครูคณิตศาสตร์ระดับชั้นประถมศึกษา(ฉบับปรับปรุง) อัดสำเนาเย็บเล่ม.
อุเทน ปัญโญ(2545) “กระบวนการในการวิจัย” วารสารการวิจัยทางการศึกษา ปีที่ ๒ ฉบับที่ ๑
Creswell, John W.(2009). Research design: Qualitative, quantitative and mixed methods
approaches (3rd Ed.) Los Angeles: Sage.
Flick, Uwe (2006). An introduction to qualitative research(3rd Ed.). Los Angeles: Sage.
Gall, Meredith D.; Gall, Joyce P. and Borg, Walter R. (2007). Educational research: An
introduction(8th Ed.). Boston: Pearson.
Tuckman, Bruce W.,(1978). Conducting educational research. New York: Harcourt Brace
          Jovanovich, Inc.
Wilkinson, A.M.,(1991). The scientist’s handbook for writing papers and dissertations.

          Englewood  Cliffs, NJ: Prentice Hall.

No comments: